ข่าว
estima กับการพัฒนาสู่ก้าวที่2
[16 กรกฎาคม 2555 09:51 น.]จำนวนผู้เข้าชม 8753 คน
Estima เจเนอเรชั่นแรกนั้นเปิดตัวออกมาตั้งแต่ปี 1990 ด้วยมาดเอ็มพีวี ล่ำสมัยของยุคนั้น ซึ่งรุ่นแรกนั้นอยู่ยงคงกระพันมาร่วม 10 ปี จนมาถึงช่วงปลายปี 2000 ทาง TOYOTA จึงได้ส่งเจเนอเรชั่นที่ 2 ที่ได้รับการปรับปรุงสวนต่างๆให้ทันสมัยมากยิ่งขึ้นออกมาแทน ส่วนเจเนอเรชั่นที่ 3 ที่เห็นอยู่นี้ถูกนำเข้าจำหน่ายในบ้านเราในช่วงปลายปี 2006 และได้เสียงตอบรับที่ดีตั้งแต่เปิดตัวจากบรรดาผู้บริโภคจนคู่แข่งในกลุ่ม เดียวกันมีการขยับปรับเปลี่ยนตามสภาพการณ์ จึงถึงเวลา "ไมเนอร์เชนจ์" ของ Estima เพื่อให้ทันเกมส์นั่นเอง เนื่องจากผู้สันทัดกรณีคาดการณ์ว่าเจอเนอเรชั่นนี้ยังสามารถทำตลาดได้อีกนาน จนกว่าเจเนอเรชั่นที่ 4 ออกมาในปี 2012
ถ้ามอง New Estima คันนี้อย่างผิวเผิน หลายๆท่านอาจมีคำถามเกิดขึ้นในใจว่า "แล้วมีอะไรเปลี่ยนไปบ้าง?" เพราะอาจรู้สึกว่าไม่ต่างไปจากรุ่นเดิมสักเท่าไหร่ เนื่องจากรูปลักษณ์ภายนอกที่ถูกออกแบบมาได้ลงตัวมากอยู่แล้วนั่นเอง เอ็มพีวีรูปทรงแอโรไดนามิกปราดเปรียวที่ลบมุมได้อย่างกลมกลืนตั้งแต่หัวจรด ท้ายคันนี้จึงไม่จำเป็นต้องทำอะไรมากนัก นอกจากรายละเอียดตามจุดต่างๆ เช่น ชุดไฟส่องสว่างหน้ารูปทรงใหม่แบบ HID (High Intensity Discharged) พร้อมระบบ AFS (Adaptive Front-lighting System) ซึ่งมีหน้าที่ปรับมุมของลำแสงไฟอัตโนมัติตามการหักเลี้ยวของพวงมาลัยและ น้ำหนักบรรทุก ซึ่งช่วยเพื่อเพิ่มทัศนะวิสัยในการขับขี่ในเวลากลางคืน ให้ดียิ่งกว่าเดิม ส่วนเล็กๆน้อยๆ อย่างกระจังหน้าและกันชนหน้าแบบใหม่ก็ส่งผลดีต่อสายตามากขึ้น ส่วนทางด้านหลังนั้น ไฟท้าย LED สีแดงขาวยังคง ยกสูง ขึ้นไปติดกับกระจกหลังและโอบรัดความกว้างของตัวรถไว้ทั้งหมด มีเพียงการปรับปรุงในรายละเอียดของส่วนที่เป็นสีขาวเท่านั้น
ภายในห้องโดยสารของรุ่นนี้มีความโดดเด่นในเรื่องพื้นที่ใช้สอยและสิ่งอำนวย ความสะดวกครบครัน (ถ้าไม่เด่นก็คงไม่ใช่รถ MPV น่ะนะ) พวงมาลัยแบบมัลติฟังก์ชั่นที่ช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถควบคุมการทำงานของระบบ เครื่องเสียงได้อย่างสะดวก (ในภาพที่เห็นเครื่องเสียงยังไม่ได้รับการติดตั้ง เนื่องจากปล่อยไว้ให้เจ้าของเลือกตามความต้องการ ทั้งสามารถเลือกติดตั้งปุ่มควบคุมสำหรับระบบปรับอากาศและโทรศัพท์ติดรถยนต์ เพิ่มได้ด้วย)
ส่วนบริเวณด้านหลังฝั่งขวาของพวงมาลัยนั้นเป็นที่อยู่ของสวิตช์ควบคุมระบบ Cruise Control มาตรวัดเรืองแสงแบบออพติตรอน มีจอแสดงข้อมูลจากการขับขี่ (Multi-Information Display) พร้อมการตกแต่งด้วยลายไม้เพิ่มความหรูหรา เบาะนั่งหุ้มด้วยผ้าสักหลาดเนื้อดี เอาอกเอาใจผู้ขับขี่เป็นพิเศษด้วยเบาะนั่งแบบปรับไฟฟ้า เบาะนั่งด้านหลังถปแบ่งเป็น 2 แถว ในลักษณะ 2 + 2 และเบาะนั่งแถวที่ 3 นั้นสามารถพับเก็บเรียบเสมอไปกับพื้นห้องโดยสารอย่างแนบเนียนด้วยระบบไฟฟ้า และสิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับรถยนต์ประเภทนี้คือ ช่องเก็บสิ่งของประเภทต่างๆ ทั่วทั้งคัน ปิดท้ายปิดท้ายด้วยมูนรูฟหรือหลังคากระจก 2 บาน ที่มาพร้อมกับแผ่นบังแสงแบบเปิด – ปิดด้วยไฟฟ้า (เฉพาะด้านหลัง) แต่น่าเสียดายที่ทั้ง 2 บาน ไม่สามารถสไลด์เปิดออกได้ แต่บานเล็กตรงบริเวณผู้ขับขี่สามารถกระดกขึ้นได้ด้วยมือ
ทัศนวิสัยโดยรวมถือว่าดีทีเดียวเพราะสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนทั้งด้าน หน้า ด้านข้าง การใช้งานในพื้นที่จำกัดอย่างตามห้างสรรพสินค้าเป็นไปอย่างสะดวกสบาย ประตูข้างทั้ง 2 ฝั่งเป็บแบบสไลด์เปิด-ปิดด้วยระบบไฟฟ้ามีระบบป้องกันการเปิดประตูขณะเคลื่อน ที่ และระบบป้องกันการปิดประตูหากมีสิ่งกีดขวาง เช่นเดียวกับฝาท้าย ส่วนระบบปรับอากาศเป็นแบบ 3 ตอน ให้ความเย็นสบายอย่างทั่วถึงตลอดทั้งคัน และแยกส่วนควบคุมของผู้ขับขี่ ผู้โดยสารด้านหน้า และผู้โดยสารตอนหลังทั้งหมด ขุมพลังนั้นยังคงเป็นรหัส 2AZ-FE VVT-i เหมือนกับรุ่นก่อนหน้านี้ซึ่งอยู่ในพิกัด 2.4 ลิตร DOHC 16 วาล์ว ให้พละกำลัง 170 แรงม้า กับแรงบิดสูงสุด 224 นิวตันเมตร จับคู่มากับเกียร์อัตโนมัติอัตราทดแปรผัน Super CVT-i 7 สปีด ที่โปรแกรมการทำงานไว้อย่างเหมาะสมกับกำลังและแรงบิดของเครื่องยนต์ การทำงานของเกียร์ลูกนี้มีความนุ่มนวลสูงตามลักษณะของเกียร์รูปแบบนี้ และส่วนหนึ่งก็มาจากการใช้ระบบคันเร่งไฟฟ้า ETCS-i ที่มีความแม่นยำในการสั่งจ่ายน้ำมันการเซ็ทน้ำหนักของคันเร่งทำได้ใกล้เคียง กับคันเร่งแบบปกติ ทำให้เกิดความแม่นยำในการประมวลผล และด้วยระบบ VVT-i แรงบิดราว 80 % ของแรงบิดสูงสุดเริ่มมีให้ใช้งานตั้งแต่รอบเครื่องประมาณ 1,000 รอบ/นาที การใช้งานในเมืองถือว่าทำได้ดีทีเดียวไม่ต้องกดคันเร่งกันมากนัก การทำงานของเครื่องยนต์ตัวนี้ราบเรียบดีแม้ว่าจะเป็นเครื่องแบบ 4 สูบก็ตาม เพราะมียางแท่นเกียร์แบบไฮดรอลิคช่วยดูซับแรงกระแทก สำหรับการขับขี่แบบเดินทางในความเร็วเฉลี่ย 110-120 กม./ชม.นั้น เครื่องยนต์ตัวนี้ยังมีการตอบสนองที่ค่อนข้างฉับไว มีกำลังสำรองสำหรับการเร่งแซงค่อนข้างมาก
ส่วนเรื่องของระบบกันสะเทือนด้านหน้าเป็นแบบอิสระแม็คเฟอร์สันสตรัท ด้านหลังเป็นแบบทอร์ชั่นบีม ยามขับขี่ใช้งานในเมืองสามารถสัมผัสได้ถึงความนุ่มนวลที่มีให้อย่างเพียงพอ ตามแบบฉบับของรถยนต์ประเภทนี้ แต่ที่โดดเด่นของคือ ความนิ่งของตัวรถย่านความเร็วสูง ซึ่งช่วยเพิ่มความมั่นใจในขณะขับขี่ได้มาก เนื่องมาจากระยะห่างระหว่างฐานล้อหน้า – หลัง (Wheelbase) ที่มีความยาวถึง 2,950 มม.กับรองเท้า 17 นิ้วกับยางขนาด 225/55 R 17 ที่ช่วยเพิ่มเสถียรภาพการขับขี่ในย่านความเร็วสูงได้เป็นอย่างดี พวงมาลัยแบบแร็คแอนด์พิเนี่ยนพร้อมระบบเพาเวอร์แบบแปรผัน ได้รับการเซ็ทน้ำหนักไว้อย่างดีให้ความรู้สึกมั่นคงในการบังคับควบคุม แต่ยังคงความฉับไวในการตอบสนองไว้ การขับขี่ในเมืองจึงไม่ค่อยรู้สึกอึดอัดความเร็วสูงการตอบสนองยังมั่นคงไม่ รู้สึกเครียดหรือเกร็ง เพราะการแปรผันน้ำหนักของพวงมาลัยที่เป็นไปอย่างเหมาะสม ส่วนระบบเบรคเป็นดิสค์เบรค 4 ล้อ มาพร้อมระบบป้องกันล้อล็อคตาย ABS แบบ 4 แชลแนล ซึ่งจะทำงานร่วมกับระบบกระจายแรงดันน้ำมันเบรก EBD (Electronic Braking Distribution) และระบบเสริมแรงเบรก BA (Brake Assist) การตอบสนองระบบเบรกนั้นถือว่าทำได้ดีมาก แป้นเบรกมีน้ำหนักพอดีๆไม่เบาหรือหนักจนเกินไป
สมรรถนะ : 0-100 กม./ชม. 12.53 วินาที อัตราสิ้นเปลือง ในเมือง 7.89 กม./ลิตร นอกเมือง 12.79 กม./ลิตร
เครื่องยนต์ : 2362 ซีซี. 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 170 แรงม้า 224 นิวตันเมตร น้ำหนัก 1,845 กก.
ความคิดเห็นที่ 1
อยากได้ ราคาเท่าไหร่อยากรู้จัง
ชื่อ :
เหมา E-mail : alphard@alphard-estima.com
วันที่ : 27 สิงหาคม 2555 23:06 น.
IP : 125.25.174.XXX
สถิติผู้เข้าชม
ขณะนี้มีผู้เข้าใช้
6
ผู้เข้าชมในวันนี้
46
ผู้เข้าชมทั้งหมด
2,166,882
เปิดเว็บ
16/07/2555
ปรับปรุงเว็บ
02/11/2560
สินค้าทั้งหมด
200
27 ธันวาคม 2567
อา
จ.
อ.
พ.
พฤ
ศ.
ส.
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
31